Welcome to my blog!

Hi Everyone! Enjoy!

Sunday, September 26, 2010

คลิปฉาว ผู้การจังหวัดตาก

คลิปฉาว ผู้การจังหวัดตาก

เวลา 17.00 น.วันที่ 22 กันยายน 2553 พล.ต.ท.สุรสีห์ สุนทรศารทูล ผบช.ภ.6 เปิดเผยว่า หลังจากตั้งพล.ต.ต.ชัยณรงค์ วงษ์สุนทร รองผบช.ภ.6 ไปตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีผบก.ภ.จว.ตาก ที่ตกเป็นข่าวกรณีคลิ๊ปฉาวในที่ทำงาน ขณะนี้ ได้รับการรายงานเบื้องต้นจากพล.ต.ต.ชัยณรงค์แล้วว่า ได้สอบพยานที่เกี่ยวข้องแล้ว วันนี้ เวลา 16.00 น.ตนได้เซ็นต์คำสั่งที่ 279/2553 สั่งย้ายพล.ต.ต.เพ็รชลูก เสียงก้อง ผบก.ภ.จว.ตาก มาประจำที่สำนักงานตำรวจภูธรภาค 6 เป็นระยะเวลา 90 วัน มีผลตั้งแต่วันที่ 23 กันยายน 2553 และได้เซ็นต์คำสั่ง280/2553 แต่งตั้งให้พล.ต.ต.จำลอง น้อมเศียร ผบก.กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 6 ไปรักษาราชการเป็นผบก.ภ.จว.ตาก มีผลตั้งแต่วันที่ 23 กันยายน 2553 ขณะนี้ได้รายงานให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติทราบแล้ว

พล.ต.ท.สุรสีห์ เผยต่อว่า ส่วนเรื่องการสอบสวนนั้น ยังคงดำเนินการสอบสวนต่อไป และคิดว่าอีกสองสามวันคงทราบผลมีความชัดเจนมากขึ้น ส่วนการเซ็นต์คำสั่งปลดหรือไล่ออก หรือลงโทษทางวินัยนั้น ต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงดำเนินการสอบสวนชี้มูลว่ามีความผิดหรือไม่อย่างไร จากนั้นจะเสนอให้ผบ.ตร.ผู้มีอำนาจดำเนินการต่อไป

ที่มา : http://76.nationchannel.com/playvideo.php?id=113522


มอบรางวัล "คนดีศรีสังคม"ผู้กระทำความดี

มอบรางวัล "คนดีศรีสังคม"ผู้กระทำความดี

22 กย. 2553

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานมอบใบเกียรติคุณ "คนดีศรีสังคม" และมอบของที่ระลึกให้กับผู้ที่ได้รับรางวัล "คนดีศรีสังคม" โดยมีนายระพีพันธุ์ สริวัฒน์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี นายจิรายุ นันท์ธราธร ผู้อำนวยการสำนักงานเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ พร้อมด้วย ผู้ตรวจราชการ ผู้บริหาร ประชาชน มาร่วมงานเป็นจำนวนมาก นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ กล่าวว่า สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมกับคณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ โดยคณะอนุกรรมการพิจารณาคัดเลือก "คนดีศรีสังคม" ได้ตระหนักในคุณค่าของการทำความดีและคนดีของสังคม จึงได้จัดโครงการ "ส่งเสริมคนดีศรีสังคม" มาตั้งแต่ปี 2550 เพื่อส่งเสริมสนับสนุนให้คนไทยตระหนักในหน้าที่ความรับผิดชอบที่จะต้องรักษาไว้ซึ่งสถาบันชาติ สถาบันศาสนา สถาบันพระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รวมทั้งเป็นการยกย่องผู้กระทำความดีอันประจักษ์แก่สังคมและประเทศชาติ เพื่อสร้างขวัญกำลังใจ ตลอดจนปลุกจิตสำนึก และกระตุ้นให้ทุกภาคส่วนได้มีแบบอย่างที่ดีและมีส่วนร่วมในการรณรงค์รักษาและส่งเสริมคนดีด้วยการมอบรางวัล "คนดีศรีสังคม" ให้แก่ "คนดี" เหล่านั้น โดยที่ผ่านมามีผู้ที่ได้รับรางวัลคนดีศรีสังคมไปแล้ว รวม 77 คน
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับในปีนี้ คณะอนุกรรมการพิจารณาคัดเลือก "คนดีศรีสังคม" ตามแนวทางและหลักเกณฑ์ได้ทั้งหมด จำนวน 10 ราย แบ่งเป็น 3 กรณี คือ
1. ผู้แสดงออกซึ่งความเมตตา กรุณา ต่อเพื่อนมนุษย์ที่ตกทุกข์ได้ยากด้วยการอุทิศตนให้การช่วยเหลืออย่างต่อเนื่องโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน จำนวน 1 คน ได้แก่ นายพฤกษา ทองเจริญ
2. ผู้แสดงออกซึ่งการปกป้อง พิทักษ์สังคมด้วยความกล้าหาญ เสียสละ โดยไม่เกรงกลัวต่อภยันตราย จำนวน 2 คน ได้แก่ นายโสภา มั่นแย้ม นางสาวธิติมา ยุราวรรณ
3. ผู้แสดงออกถึงความซื่อสัตย์ สุจริต เช่น ไม่ยักยอก หรือนำเอาทรัพย์สินซึ่งมีค่าของผู้อื่นมาเป็นของตน ทั้งๆ ที่มีโอกาสจะกระทำได้ จำนวน 7 คน ได้แก่ สิบตำรวจโท กฤตพัฒน์ รัตนเสรี นายอภิเชษฐ์ สุรธรรมจรรยา นายหนูเจน มณีฉาย นายวิทยา ดวงบุตร นายอาจ กอบคำ นายสมศักดิ์ อภัยโส และ นายสานนท์ พรมแตง

ที่มา : http://breakingnews.nationchannel.com/read.php?newsid=470166

Tuesday, August 31, 2010


คุณแม่ใจเด็ด คลอดแล้วน้องฮีโร่ !

12 ส.ค. 53 รายงานข่าวได้รับแจ้งจาก น.พ.อนันตศักดิ์ อภัยรัตน์ ผอ.ร.พ.พญาไท 3 ว่า นางธิติมา ยุราวรรณ คุณแม่ใจเด็ดที่ไล่จับโจรขโมยรถยนต์ ได้คลอดน้องฮีโร่ แล้วด้วยวิธีผ่าตัด เมื่อเวลา 09.29 ที่ผ่านมาโดยมีน้ำหนักตัว 2,738 กรัม ซึ่งมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ทั้งแม่ และลูก ขณะที่ นางธิติมา ยุราวรรณ คุณแม่ใจเด็ด ได้กล่าวถึงพระราชดำรัสของ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่ได้หยิบยกวีรกรรมของตน มากล่าวชื่นชมว่า
“ตนรู้สึกตื้นตันใจ ปลื้มปิติ ตลอดเวลาที่นั่งฟังพระราชดำรัสของ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่ทรงชื่นชมตน จากกรณีช่วยจับคนร้ายขโมยรถยนต์ ไม่คิดว่าเรื่องเล็กๆ ของตน จะทราบถึงพระเนตรพระกรรณ ซึ่งถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ โดยชีวิตหลังจากนี้ จะขอทำดีความดีตลอดชีวิต และรู้สึกดีใจ ที่ได้ปลุกกระแสให้สังคมไทย ได้ลูกขึ้นมาทำดี อยากให้ทุกคนช่วยกันสอดส่องดูแลประเทศชาติ ให้บ้านเมืองเราน่าอยู่มากยิ่งขึ้น” คุณแม่ใจเด็ดกล่าวสั้นๆ

แหล่งข่าวที่มา MThai SMS News
http://news.mthai.com/general-news/83957.html


สาวไล่จับโจรคลอดน้องฮีโร่แล้วปีติดอกไม้พระราชทานจากราชินี


วันที่ 12 ส.ค. น.ส.ธิติมา ยุราวรรณ คุณแม่ฮีโร่จากวีรกรรมขับรถกวดคนร้ายทั้งที่ท้องแก่ 9 เดือน ได้คลอดบุตรชายคนที่ 2 แล้ว ที่โรงพยาบาลพญาไท 3 เมื่อเวลา 09.29 น. ชื่อ ด.ช.สิรวิชญ์ วิจิตราการลิขิต หรือ น้องฮีโร่ น้ำหนักแรกเกิด 2,738 กรัม สูง 49 เซนติเมตร สภาพสมบูรณ์แข็งแรง
น.ส.ธิติมา เผยว่า ดีใจที่คลอดบุตรในวันดีคือวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ปลาบปลื้มที่ได้รับดอกไม้พระราชทาน ไม่คิดว่าการกระทำเล็ก ๆ ครั้งนี้จะได้รับผลตอบแทนยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะการที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรงมอบกำลังใจให้นั้น ตื้นตันและปลื้มปิติยิ่งกว่าพรใด ๆ

“ไม่นึกเลยว่าจะมีวันที่มีโอกาสที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ จะตรัสถึงชื่อและนามสกุล และยังทรงอวยพรถึงลูกที่เกิดมาให้มีร่างกายที่แข็งแรง มันเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดที่สุดในชีวิต” น.ส.ธิติมา กล่าวทั้งน้ำตาและว่า หลังจากนี้จะสอนลูกให้รู้จักคิด ช่วยเหลือสังคมและมีน้ำใจต่อเพื่อนมนุษย์ คาดหวังว่าลูกชายจะได้รับใช้ชาติ

น.อ.หญิงอังคณา บุญยงค์ เจ้าของรถที่ถูกขโมย กล่าวว่า ชื่นชมวีรกรรมของน.ส.ธิติมา เป็นตัวอย่างที่ดีของสังคม อยากให้ทุกคนช่วยเหลือเอื้ออาทรต่อกัน ทั้งนี้ได้นำเหรียญกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์พร้อมสร้อยทองน้ำหนัก 1 บาท มอบเป็นของขวัญให้น้องฮีโร่ด้วย

น.พ.อนันตศักดิ์ อภัยรัตน์ ผอ.ร.พ.พญาไท 3 กล่าวว่า เป็นเกียรติที่น.ส.ธิติมาเลือกมาคลอดบุตรที่โรงพยาบาล มอบของขวัญเป็นการดูแลค่าใช้จ่ายทั้งหมดกว่า 5 หมื่นบาท พร้อมทั้งชุดวัคซีนให้น้องฮีโร่ด้วย

สำหรับบรรยากาศบริเวณห้องพักหมายเลข 763 เป็นไปอย่างคึกคักตั้งแต่ช่วงเช้า มีผู้เข้าเยี่ยมและให้กำลังใจน.ส.ธิติมาจำนวนมาก อาทิ ตัวแทนจากกทม. ตำรวจในท้องที่ สำนักงานเขตภาษีเจริญ ฯลฯ ทั้งนี้เวลา 11.50 น. น.ส.ธิติมาเห็นหน้าบุตรชายครั้งแรกผ่านจอแอลซีดีที่ติดตั้งถ่ายทอดสดในห้องพัก พร้อมกล่าวด้วยความปลื้มใจว่า “ลูกแม่ ตัวแดงมากเลย แข็งแรงดี ๆ”
พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ว่าที่ ผบ.ตร พร้อมด้วยพล.ต.ท.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะโฆษก สตช. เดินทางเข้าแสดงความยินดีกับ น.ส.ธิติมาและน้องฮีโร่ โดยพล.ต.อ.วิเชียรกล่าวว่า น.ส.ธิติมาเป็นแม่ตัวอย่างที่เสียสละ จึงตั้งใจเดินทางมาเพื่อแสดงความยินดี ขณะที่พล.ต.ท.พงศพัศกล่าวว่า อนาคตอยากชวนน้องฮีโร่มารับใช้ชาติ นอกจากนี้ พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น. ยังส่งตัวแทนนำกระเช้าแสดงความยินดีด้วย


แหล่งข่าวที่มา http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRJNE1UWXdNRGczTVE9PQ==

Sunday, August 22, 2010

หลักฐานนิติเวชก็โกหกได้

หลักฐานนิติเวชก็โกหกได้
โดย วรากรณ์ สามโกเศศ มติชนรายวัน วันที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11478

เรื่องราวบันเทิงที่ดูจากโทรทัศน์อาจมีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ดูในโลกจริงอย่างร้ายแรงก็เป็นได้ ดังในกรณีของการเชื่อมั่นอย่างผิดๆ ในการใช้หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ในคดีอาญาจนอาจทำให้ผู้บริสุทธิ์ต้องติดคุกหรือถึงกับถูกประหารชีวิตได้
ทีวีซีรีส์ CSI หรือ Criminal Science Investigation ของอเมริกาได้รับความนิยมอย่างยิ่ง คนดูได้ทั้งความรู้ในเรื่องนิติเวช (forensics) ความบันเทิง และความไร้เทียมทานของวิทยาศาสตร์ในการจับคนผิดมาลงโทษ
คำขวัญของผู้เชื่อมั่นในเรื่องหลักฐานทางนิติเวช ก็คือ "พยานโกหกได้ แต่หลักฐานทางวิทยาศาสตร์โกหกไม่ได้" ซึ่งสร้างความสบายใจให้แก่คนเดินถนนทั่วไปที่ไม่คิดจะทำความผิด อย่างไรก็ดีนิตยสาร Popular Mechanics (PM) อันมีชื่อเสียงของโลกในฉบับล่าสุดเดือนสิงหาคม 2009 ให้ข้อเท็จจริงว่าหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ก็อาจโกหกได้เนื่องจากมนุษย์พยายามยัดเยียดให้หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ตอบคำถามมากกว่าที่มันจะตอบได้
PM เปิดเผยความจริงที่เป็นประโยชน์ต่อผู้เกี่ยวพันกับคดีไม่ว่าจะเป็นตำรวจ อัยการ ผู้พิพากษา หรือคณะลูกขุน (ในประเทศที่ใช้ระบบการพิจารณาคดีเช่นนั้น) และเรียกได้ว่าน่าตกใจเพราะหลายเรื่องตรงกันข้ามกับสิ่งที่พวกเราๆ เข้าใจกันจากการดู CSI และภาพยนตร์หลายๆ เรื่องที่เกี่ยวกับการลงโทษผู้กระทำผิดด้วยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์จากตัวผู้ตาย จากบริเวณที่เกิดอาชญากรรม จากหลักฐานประกอบคดี ฯลฯ
ในหลายประเทศในโลก โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกานักโทษนับร้อยคนได้รับการปล่อยตัวหลังจากมีการทบทวนหลักฐานทางนิติเวชในเรื่อง DNA
ดังเรื่องของเด็กหนุ่มอายุ 23 ปี ชื่อ Steven Barnes ถูกตัดสินจำคุก 25 ปี ในข้อหาฆ่าข่มขืนเด็กหญิงอายุ 16 ปี เนื่องจากพบเส้นผม 2 เส้นที่มีลักษณะคล้ายกับผู้ตายอย่างยิ่งในรถของเขา และตัวอย่างดินจากรถของเขาตรงกับดินจากบริเวณที่เกิดเหตุ นอกจากนี้กางเกงยีนของผู้ตายทิ้งรอยนั่งประทับไว้ในรถของเขา
เมื่อปีที่แล้วเขาได้รับการปล่อยตัวหลังจากติดคุกมา 20 ปี จากการพิสูจน์ DNA ของเขากับที่ปรากฏในตัวผู้ตาย
PM ใช้คำยืนยันจากผู้เชี่ยวชาญว่าหลักฐานทางนิติเวชที่เชื่อถือได้มากที่สุดเพราะมีการศึกษาอย่างกว้างขวางโดยใช้วิชาสถิติสนับสนุนก็คือ การพิสูจน์ DNA (ได้มาจากเลือด เนื้อเยื่อ อสุจิ น้ำมูก น้ำลาย เซลล์ผิวหนัง เซลล์จากอวัยวะของร่างกาย เส้นผม ฯลฯ) โอกาสที่คนสองคนที่มิใช่ฝาแฝดจากไข่ใบเดียวกันจะมี DNA เหมือนกันคือ 1 ใน 1 พันล้านล้าน (เลข 1 และตามด้วยเลขศูนย์ 15 ตัว)
ก่อนหน้าการใช้ DNA หลักฐานสำคัญก็คือเลือดและเส้นผม ในเรื่องเลือดก็ใช้ กรุ๊ปเลือด เรื่องเส้นผมก็ใช้การขยายภาพลักษณะของเส้นผม ความหนาและหยาบของเส้นผม ความกลม รอยแตก สารเคมีประกอบบนเส้นผม ฯลฯ FBI เคยศึกษาและพบว่าความผิดพลาดมีถึงร้อยละ 12.5
กล่าวคือในการวิเคราะห์ 100 กรณีของการนำเส้นผมของเจ้าของและ เส้นผมที่นำมาเทียบเคียงกัน 88.5 รายเท่านั้นที่บอกได้ถูกว่าเป็นของบุคคลเดียวกัน ส่วนเลือดนั้นช่วยได้เพียงทำให้จำนวนของผู้ต้องสงสัยลดน้อยลงหรือตัดผู้ต้องสงสัยบางคนออกไปได้
เรื่องที่ PM บอกว่าอื้อฉาวที่สุดก็เรื่องลายนิ้วมือ ผู้เชี่ยวชาญปัจจุบันบอกว่ายังไม่มี การศึกษาใดที่ระบุได้อย่างชัดแจ้งโดยปราศจากข้อสงสัยว่าลายนิ้วมือมนุษย์คนหนึ่งนั้นไม่เหมือนใครเลย ในโลก อีกทั้งไม่ชัดเจนว่ามันเปลี่ยนแปลงข้ามเวลาได้หรือไม่ และเมื่อกดนิ้วมือด้วยแรงกดไม่เท่ากันจะทำให้รอยนิ้วมือแตกต่างกันได้หรือไม่ เรื่องลายนิ้วมือนี้จำเป็นต้องมีการศึกษาทางสถิติอย่างกว้างขวางยิ่งขึ้นกว่าในปัจจุบันเพื่อยืนยันความแม่นยำของการใช้ลายนิ้วมือเป็นหลักฐาน
อย่างไรก็ดี โลกก็ได้ใช้ลายมือเป็นหลักฐานมายาวนานจนเป็นที่ยอมรับกัน สิ่งที่ PM ต้องการชี้ให้เห็นก็คือมันมีระดับของความเชื่อมันทางสถิติมากน้อยเพียงใด เหตุที่ DNA ได้รับการยอมรับก็เนื่องจากมีการศึกษาจนสามารถกำหนดระดับความเชื่อมันทางสถิติได้ว่าสองสิ่งนั้นมาจากแหล่งเดียวกันหรือเหมือนกัน
ในการใช้ลายนิ้วมือเป็นหลักฐานจำเป็นต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญไม่ต่ำกว่าสองคนที่มีความเที่ยงธรรมเป็นผู้พิจารณาประกอบกับการใช้ความก้าวหน้าด้านคอมพิวเตอร์ในเรื่องการพิสูจน์ลายนิ้วมือมาช่วย
PM ระบุว่าหลักฐานหลายเรื่องถูกริเริ่มใช้โดยพนักงานทางกฎหมายที่ขาดความรู้พื้นฐานด้านนิติวิทยาศาสตร์ และก็เชื่อกันต่อๆ มาโดยขาดการวิจัยอย่างกว้างขวางและลึกซึ้งในเรื่องความน่าเชื่อถือ (ปัจจุบันศาลสหรัฐอเมริกันรับการพิสูจน์จากการดมกลิ่นของสุนัข น้อยลงมากแล้วเนื่องจากยอมรับกันมากขึ้นในความไม่เที่ยงตรง)
หลักฐานที่ PM บอกว่ามีฐานที่ไม่มั่นคงทางวิทยาศาสตร์ก็คือรอยกัด รอยเท้า รอยยางรถยนต์ ลายมือเขียน แบบแผนรอยเลือด ฯลฯ สำหรับกระสุนปืนจากปืนกระบอกเดียวกันนั้นก็มีเรื่องถกเถียงในเรื่องมาตรฐานของความเหมือนกันของลูกปืนที่ยิงออกมาจากปืนกระบอกเดียวกัน กล่าวคือรอยตำหนิบนลูกปืนตรงที่ใด ลักษณะตำหนิแบบใด จำนวนความเหมือนกันของรอยตำหนิมากเท่าใด ฯลฯ จึงจะถือว่าลูกปืนถูกยิงออกมาจากปืนกระบอกเดียวกัน
ปัญหาที่ PM ระบุเหล่านี้ส่วนหนึ่งมาจากรายงานที่สภาผู้แทนราษฎรอเมริกันได้มอบให้ National Academy of Sciences (NAS) ศึกษาในปี 2005 เพื่อตรวจสอบสถานะของหลักฐานทางนิติเวชที่ผู้ใช้กฎหมายใช้กันอยูทั้งประเทศ รายงานดังกล่าวเพิ่งตีพิมพ์ให้สาธารณชนรับทราบเมื่อไม่นานมานี้
รายงานฉบับนี้ระบุว่าสถานะของระบบนิติวิทยาศาสตร์ของประเทศมีความบกพร่องอย่างร้ายแรงและแนะนำให้ใช้หลักฐานจาก DNA แต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้นเนื่องจากให้ความแน่นอนที่น่าเชื่อถือได้ ปัญหาในเรื่องหลักฐานทางนิติเวชสมควรได้รับการศึกษาให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และสนับสนุนให้จัดตั้งองค์กรระดับชาติในเรื่องนี้
รายงานฉบับนี้เตือนใจให้ประชาชนได้คิดว่าน่าจะมีคนบริสุทธิ์ติดคุกคดีอาญาเพราะใช้หลักฐานทางนิติเวชบางอย่างที่มิได้อยู่บนพื้นฐานอันมั่นคงทางวิทยาศาสตร์ โดยไม่รู้ว่าหลักฐานที่ใช้นั้นมีโอกาสผิดพลาดมากน้อยเพียงใด (ในโลกนี้ไม่มีหลักฐานใดที่ให้ความแน่นอน 100 เปอร์เซ็นต์ จำเป็นต้องใช้วิจารณญาณของมนุษย์ประกอบด้วยเสมอ และตัวเลขความเป็นไปได้ของความผิดพลาดจะทำให้สามารถใช้วิจารณญาณได้อย่างถูกต้องเที่ยงธรรมยิ่งขึ้น)
บทเรียนจากเรื่องนี้ก็คือหลายสิ่งที่เราเคยเชื่อมานั้นอาจไม่ถูกต้องก็เป็นได้ และอย่าเชื่อสิ่งที่เห็นในโทรทัศน์ทั้งหมด เช่น เชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในเรื่อง CSI คือความจริงของโลก ความคล้อยตามโทรทัศน์เช่นนี้ทำให้ปัจจุบันคนลาวและคนเขมรจำนวนไม่น้อยที่ดูโทรทัศน์ไทย เชื่อว่าคนไทยมีบ้านที่ใหญ่โตหรูหรา มีสระว่ายน้ำทุกบ้าน เช่นเดียวกับที่เราเชื่อว่าฝรั่งกินอยู่และมีชีวิตหรูหรากันหมดเหมือนที่เราเห็นในภาพยนตร์จากฮอลลีวู้ด ไม่มีใครรู้ได้ว่าความเชื่อมั่นในเรื่องความเป็นวิทยาศาสตร์ของหลักฐานของคดีอย่างผิดๆ ของผู้เกี่ยวพันในกระบวนการยุติธรรมในปัจจุบันในทุกประเทศทำให้เกิดความเสียหายขึ้นมากน้อยเพียงใด

โจรขยาด....เมื่อตาทิพย์ขยับ


โจรขยาด....เมื่อตาทิพย์ขยับ


ไทยโพสท์......19 สิงหาคม 2553 เวลา 06:03 น.



ระหว่างที่พนักงานธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาห้างเซ็นทรัล ปิ่นเกล้า กว่า 10 คน กำลังอยู่ในห้วงอาการวิตก หลังจากที่คนร้ายอายุประมาณ 40 ปี ผิวขาว ลักษณะท้วม สวมเสื้อคลุมซาฟารีสีเหลือง ด้านในสวมเสื้อยืดสีขาวคอสีเข้ม กางเกงสีกากีเข้ม รองเท้าหนัง ในมือมีอาวุธปืน เปิดประตูเหล็กด้านหน้าเดินเข้ามาในธนาคาร พร้อมข่มขู่เอาเงินจนทุกคนต้องยอมเปิดทาง

โดย...วิทยา ปะระมะ

เพียงไม่กี่นาทีคนร้ายบรรจงโกยเงินใส่ถุงสีแดงจำนวน 8.15 แสนบาท ก่อนจะวิ่งหนีออกมาจากธนาคารไปทางด้านหลังห้าง ขับมอเตอร์ไซค์ 4 สูบ สีเหลืองหลบหนีไป
เหมือนทุกอย่างจะเข้าทางโจร ธนาคารถูกปล้นต่อหน้าต่อตาคนในห้าง และคนร้ายได้หนีลอยนวล
แต่รูปพรรณสัณฐาน เสื้อผ้าหน้าผม เครื่องแต่งตัวต่างๆ ถูก “กล้องวงจรปิด” บันทึกไว้โดยละเอียดทุกอิริยาบถ ซึ่งประจวบเหมาะที่คนร้ายเข้าไปยืนตรงมุมกล้องที่สามารถบันทึกโฉมหน้าคนร้ายได้อย่างแจ่มแจ้ง นั่นจึงทำให้เจ้าหน้าที่เอาภาพที่ได้จากกล้องไปเปรียบเทียบกับทะเบียนราษฎร แล้วตามจับได้เพียงชั่วข้ามคืน
หลายต่อหลายคดีที่ตำรวจจำเป็นต้องใช้ภาพจากกล้องวงจรปิดเป็นหลักฐานมัดตัวคนร้ายที่ก่ออาชญากรรม เพราะพยานแวดล้อมไม่สามารถให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ได้
กล้องทีวีวงจรปิดกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการใช้เฝ้าระวังเหตุและติดตามจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดี ยิ่งในห้วงที่ประเทศไทยกำลังมีความขัดแย้งและมีการลอบวางระเบิดตามสถานที่สำคัญต่างๆ กล้องวงจรปิดก็ยิ่งทวีความสำคัญช่วยให้ตำรวจทำหน้าที่ได้ง่ายขึ้น
พ.ต.อ.สุชาติ กังวารจิตต์ รองผู้บังคับการกองตำรวจสื่อสาร สำนักงานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (รอง ผบก.สส.สทส.) ตั้งข้อสังเกตว่าปัจจุบันมีการก่ออาชญากรรมเกิดขึ้นบ่อยครั้งมาก ทำให้ประชาชนไม่ค่อยมั่นใจในชีวิตและทรัพย์สิน เมื่อมีเหตุเกิดขึ้นตำรวจก็จะหาพยานในที่เกิดเหตุแล้วสเกตช์ภาพผู้ต้องสงสัย ปัญหาคือบางครั้งไม่มีพยาน หรือมีพยาน แต่พยานก็บรรยายลักษณะคนร้ายจากมุมมองที่ตัวเองเห็นอย่างเดียว
“จำเรื่องภาพสเกตช์คนร้ายที่ใส่หมวกกันน็อกปล้นร้านทองได้ใช่ไหม เพราะพยานเขาเห็นคนร้ายแบบนั้นจริงๆ เลยต้องสเกตช์ออกมาเป็นรูปแบบนั้น กล้องวงจรปิดมันถึงเป็นตัวช่วยสำคัญอย่างยิ่งที่ใช้จับตาดูพฤติกรรมคนร้ายทั้งช่วงก่อนและหลังเกิดเหตุ อย่างตอนปล้นอาจใส่หมวกกันน็อก แต่ถ้ามีกล้องอยู่ในบริเวณใกล้เคียงเราก็จะเห็นว่าเขาใส่หมวกตอนไหน ถอดตอนไหนแล้วหน้าตาจริงๆ เป็นอย่างไร”
คดีที่รอง ผบก.สส.สทส. บอกเล่า เป็นเหตุที่คนร้ายปล้นร้านทองใน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา โดยคนร้ายซึ่งมีเพียงคนเดียวเป็นชายวัยกลางคน รูปร่างผอมสูง สวมหมวกกันน็อกแบบรถแข่งปิดหน้ามิดชิด สวมเสื้อแจ็กเกตสีน้ำเงิน ได้ขับรถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า เวฟ สีแดงดำ ป้ายเหลือง ทะเบียน กกก 473 สงขลา มาจอดหน้าร้าน ก่อนที่จะบุกเข้าไปในร้านและชักอาวุธปืนขนาด 9 มม. ออกมายิงกระจกตู้เก็บทอง 2 นัด
คนร้ายกระโดดข้ามเคาน์เตอร์ไปกวาดทองรูปพรรณที่แขวนอยู่ใส่กระเป๋า และรีบวิ่งออกจากร้านไปสตาร์ตรถจักรยานยนต์ขับหลบหนีไปท่ามกลางสายตาของประชาชนจำนวนมากที่เห็นเหตุการณ์ เนื่องจากอยู่ในย่านชุมชน โดยระหว่างนั้นกลุ่มวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างพยายามใช้ก้อนอิฐขว้างใส่คนร้ายแต่ไม่โดน
นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำไมต้องติดตั้งกล้องวงจรปิด เพราะแม้ว่าจะมีการตรวจสอบทะเบียนรถคันดังกล่าวแล้ว ก็พบว่าเป็นรถที่ถูกขโมยไปเมื่อช่วงเช้าวันเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน และเจ้าหน้าที่วิทยาการได้ตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดที่สามารถบันทึกภาพคนร้ายขณะก่อเหตุไว้ได้ แต่ไม่ได้เบาะแสมากนัก เนื่องจากคนร้ายสวมหมวกกันน็อกปิดบังใบหน้ามิดชิด และสวมถุงมือ
ในขณะที่ภาพจากกล้องวงจรปิดที่ร้านเซเว่นอีเลฟเว่นที่อยู่ตรงข้ามร้านทอง ก็ไม่สามารถจับภาพไว้ได้เช่นกัน เนื่องจากช่วงเวลาเกิดเหตุมีรถยนต์มาจอดบังกล้องเอาไว้
พ.ต.อ.สุชาติ กล่าวว่า ปัจจุบันพื้นที่ในกรุงเทพฯ มีกล้องวงจรปิดติดตั้งในจุดต่างๆ ประมาณ 2,000 ตัว อย่างไรก็ตาม ได้ตั้งข้อสังเกตว่าอาชญากรรมส่วนใหญ่คนร้ายมักจะก่อเหตุที่บ้านหรือที่ส่วนบุคคล ไม่ค่อยก่อเหตุในที่สาธารณะ ดังนั้นหากสนับสนุนให้ประชาชนติดกล้องวงจรปิดในพื้นที่ของตนให้มากๆ ก็จะช่วยให้ตำรวจสืบสวนหาคนร้ายได้ดียิ่งขึ้น
ที่สำคัญ กล้องวงจรปิดของรัฐบางครั้งมีปัญหาเรื่องการบำรุงรักษา กล้องบางตัวใช้งานไม่ได้ แต่หากประชาชนติดตั้งเองก็จะช่วยลดปัญหานี้ลงไปได้ด้วย
“ผมอยากเสนอให้รัฐยกเรื่องกล้องวงจรปิดเป็นวาระแห่งชาติเลย โดยกำหนดให้รัฐรับผิดชอบติดตั้งกล้องในพื้นที่สาธารณะทั้งหมด ส่วนพื้นที่กึ่งสาธารณะ เช่น ห้างสรรพสินค้า โรงแรม ที่จอดรถ โรงเรียน หมู่บ้าน หรือแม้แต่วัด ต้องออกมาตรการบังคับให้ติดกล้องวงจรปิดทั้งหมด ส่วนที่ส่วนบุคคลหรือภายในบ้าน รัฐต้องมีมาตรการสนับสนุนให้ประชาชนจัดหากล้องวงจรปิดได้ง่ายขึ้น โดยการทำราคากล้องวงจรปิดให้ถูกลง ทุกวันนี้กล้องราคาประมาณ 2,000 บาท ไปจนถึงหลักหมื่นหลักแสน แต่ถ้าลดให้เหลือประมาณ 500 บาท และเครื่องบันทึกอีก 5,000 บาท ก็น่าจะทำให้ประชาชนหันมาติดตั้งกล้องวงจรปิดภายในบ้านมากขึ้น” พ.ต.อ.สุชาติ กล่าว
ขณะเดียวกัน การติดตั้งกล้องวงจรปิดก็ต้องมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนด้วยว่าต้องการเอามาดูอะไร เช่น ติดเพื่อดูรถก็แบบหนึ่ง แต่ถ้าจะดูทะเบียนรถก็เป็นอีกแบบหนึ่ง เนื่องจากการบันทึกภาพขณะเคลื่อนไหวต้องใช้กล้องที่มีความไวแสงสูงกว่า
ทั้งนี้ พ.ต.อ.สุชาติ ยกตัวอย่างกล้องวงจรปิดของกรุงเทพฯ ว่า กว่า 90% จะไม่เห็นหน้าคนร้ายชัดเจน เพราะเป็นกล้องที่ติดเพื่อดูสภาพการจราจรเป็นหลัก ตำรวจใช้ได้แต่ดูพฤติกรรมของคนร้าย แต่กล้องที่จับภาพใบหน้าคนร้ายได้ชัดเจนกลับเป็นกล้องวงจรปิดของเอกชนที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นกล้องจากตู้เอทีเอ็ม ร้านสะดวกซื้อ หรือธนาคารต่างๆ
ซึ่งสรุปแล้วก็คือ เมื่อโจรปล้นร้านทองหรือร้านค้า กล้องวงจรปิดที่รัฐติดตั้งไว้ไม่สามารถระบุรูปพรรณสัณฐานของคนร้ายได้ และเกือบทุกคดีตำรวจต้องขอภาพจากกล้องวงจรปิดจากผู้ประกอบการซึ่งเป็นผู้เสียหายแทบทั้งนั้น
นั่นจึงเป็นคำตอบว่า เพราะอะไรเมื่อมีเหตุร้าย เหตุวินาศกรรม วางระเบิด คนกรุงจึงตื่นตระหนกแทบไม่เป็นอันกินอันนอน




Sunday, August 15, 2010

ขัดแย้งอย่างเป็นสุข และขัดแย้งแต่ไม่ขัดขา

ขัดแย้งอย่างเป็นสุข และขัดแย้งแต่ไม่ขัดขา

ทุกวันนี้เราได้ยินคำว่า “สมานฉันท์” กันมากจนแทบจะอาเจียนกันแล้วละครับ ความจริงเจ้าคำ“สมานฉันท์” นี้น่าจะมาฮิตกันเมื่อเร็วๆนี้เอง ไม่น่าจะเกิน 5 ปีครับ สงสัยเหมือนกันว่าแต่ก่อนประเทศเราเคยมีสมานฉันท์หรือเปล่า

เท่าที่ผู้เขียนจำความได้ ประเทศเรามีความขัดแย้งกันบ้างเหมือนกัน แต่เป็นครั้งคราว ไม่บ่อยนัก และคงขัดแย้งเล็กๆน้อยๆ จึงไม่จำเป็นต้องมีสมานฉันท์

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความขัดแย้งในบ้านเรามีแค่กลุ่มย่อยๆ 2 กลุ่ม จึงมีคนเกี่ยวข้องไม่กี่คน ไม่มากพอที่จะเป็นความขัดแย้งของทั้งประเทศ พอจะเจรจาตกลงกันได้ เรื่องขัดแย้งก็เลยเคลียร์ๆกันไป จนคนรุ่นหลังๆลืมเลือนกัน

จริงๆแล้ว ความขัดแย้งทุกเรื่อง มีที่มาจากผลประโยชน์ตนหรือพวกตนครับ ซึ่งทางพระเรียกว่า “กิเลส” เจ้าตัวผลประโยชน์หรือกิเลสนี้แหละ ถ้าไม่ลงตัวแบบ วิน-วิน แล้วละก็ เป็นเรื่องทีเดียว ทำเอาส่วนรวมวุ่นกันไปหมด

สงสัยจริงๆครับว่าสาเหตุที่ปัจจุบันในประเทศเราขัดแย้งกันมากๆ จนถึงกับต้องสมานฉันท์นั้น เป็นเพราะอะไร

ทางภาคใต้ของเราก็เหมือนกันครับ มีการตั้งคณะกรรมการสมานฉันท์ฯ กันเป็นสิบๆคณะ มีการวิเคราะห์กัน ถึงขนาดต้องขุดประวัติศาสตร์ตั้งแต่ศักราชโบราณมาเล่า ทั้งที่ประวัติศาสตร์ของประเทศไทยเราก็ไม่ชัดและไม่รู้ว่าน่าเชื่อถือมากแค่ไหน

ขัดแย้งเพราะเราคิดเล็กคิดน้อยหรือเปล่า?

หลายคนหงุดหงิดกับความขัดแย้ง เพราะมันน่ารำคาญนะครับ ไปไหนก็มีแต่คนโต้เถียง กล่าวหาใส่ร้ายป้ายสีกัน ขึ้นแท็กซี่ ยังโดนไล่ลงถ้าวิจารณ์เรื่องขัดแย้งไม่เข้าหูคนขับ

บ้านเมืองเราเป็นแบบนี้ไปแล้วครับ หนังตลกไม่มีสาระ (แต่คลายเครียดได้) จึงโกยเงินเอา โกยเงินเอา

ความจริงเหตุที่เราขัดแย้งกัน อาจจะมีสาเหตุมาจากเราคิดเล็กคิดน้อยกระมัง เรื่องทุกเรื่อง ถ้าไม่ยกมาเป็นเรื่อง มันก็ไม่เป็นเรื่องครับ เพราะถึงจะไม่เห็นด้วย เราก็พอทนๆกันไปได้

เรื่องเล็กๆน้อยๆ ถ้าไม่เอามาเป็นอารมณ์ มันก็คงพอจะอภัยกันได้ วิธีหลีกเลี่ยงความขัดแย้งสามารถทำได้โดยตัวเราเองครับ วิธีการที่ว่าก็คือ คิดว่า
· ไม่เป็นไรครับ ทุกอย่างก็เรียบร้อยดี (denial)
· ไม่เป็นไรครับ เป็นเรื่องเล็กน้อย (minimizing)
· ไม่เป็นไรครับ ผมยกให้คนหนึ่ง (condoning)
· ไม่เป็นไรครับ ผมทนได้ (enduring)
· ไม่เป็นไรครับ ผมไม่สนหรอก (ignoring)
· ไม่เป็นไรครับ ตามใจคุณ (appeasing)

แต่ใครสร้างความขัดแย้งกันแน่?

ถ้าอย่างนั้น แล้วทุกๆวันนี้ใครทำเรื่องให้เป็นเรื่องครับ ถ้าไม่ใช่คนขายข่าว ลองคิดดูนะครับถ้าตื่นเช้า เราไม่มีรายการวิทยุหรือทีวี เสนอข่าวเล่าเรื่องความขัดแย้งของพรรคต่างๆ ไม่มีใครเล่าเรื่องนักการเมืองทะเลาะกัน ไม่มีใครเล่าเรื่องนักวิชาการวิจารณ์การเมือง(แบบกลางแต่เอียงข้าง) ก็คงไม่มีอะไรมากระตุ้นต่อมเครียด

ถ้าเช้าๆวันไหน มีแต่เรื่องชาติบ้านเมืองมีความเจริญก้าวหน้า มีแต่ข่าวบันเทิง ข่าวบุญกุศล กับข่าวศิริมงคล มากระทบหู วันนั้นดัชนีความสุขของคนไทยคงจะมากขึ้น ยิ่งถ้าตอนบ่ายมีหวยออกด้วย วันนั้นก็ถือเป็น “วันมงคลแห่งชาติ” ได้เลย

เรื่องของคนอื่นเขา แต่เอาเราไปเกี่ยวด้วย

คิดดีๆ จะเห็นว่า ความขัดแย้งทั้งหลายนั้น เป็นเรื่องคนอื่นขัดแย้งผลประโยชน์กัน แต่เขาลากเอาเรามาเกี่ยวด้วย ตัวละครเอกมีอยู่ไม่กี่คน เราเองไม่ได้เป็นตัวละคร เขายังเอาเราไปเป็นตัวประกอบจนได้ คงได้ยินกันอยู่บ่อยๆที่เขาอ้างว่าเป็นผลประโยชน์ของประชาชน ทำเพื่อประชาชน ทำเพื่อชาติ (แต่ที่แท้เขาทำเพื่อประโยชน์ตนทั้งนั้น)

การเมืองในสมัยก่อนเวลาขัดแย้ง อย่างดีก็ไม่ร่วมมือ วอล์คเอาท์ ขัดขวาง หรืออย่างมาก ก็ให้สัมภาษณ์หรือเขียนข่าวโจมตี แต่เดี๋ยวนี้พัฒนาเลยไปถึงขั้นรวบรวมผู้คนมาชุมนุมหรือจัดม็อบ เพิ่มความกดดันให้ฝ่ายตรงข้าม และกดดันให้สังคมวุ่นวายด้วย

แล้วเราจะอยู่กันอย่างไร เพราะเวลาเราจะเดินทางไปไหน ต้องเลือกเส้นทางหลบเลี่ยง

ถ้าจำเป็นต้องไปใกล้เคียงบริเวณที่ชุมนุม ต้องคอยหลบลูกหลงด้วย ชีวิตพวกเราพลอยได้รับผลกระทบทั้งที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกม็อบเขาเรียกร้องอะไร

คนไทยด้วยกันก็คงทนกันไปได้ แต่คนต่างชาติเขาไม่ทนครับ เขาบอกต่อว่าอย่ามาเที่ยวเมืองไทย อย่ามาลงทุนในบ้านเมืองที่มีแต่ความวุ่นวาย

ต้องเคารพกติกา และบังคับตามกติกาได้

เดี๋ยวนี้ความขัดแย้งทางการเมืองกลายพันธุ์ไปแล้ว เล่นแรงจนกลายเป็นการต่อสู้ทางการเมือง ครับการต่อสู้ก็ต้องมีกติกา และเมื่อวิธีการต่อสู้ดุเดือดขึ้น กติกาก็ต้องปรับตามไปด้วย

ถ้าไม่มีกติกามากำกับการต่อสู้ ต่อไปการกล่าวหาใส่ร้ายป้ายสีกัน ก็จะรุนแรงเลยไปถึงขั้นทำร้าย และทำลายล้างกัน

วิธีที่จะควบคุมมิให้ความขัดแย้งยกระดับไปถึงขั้นทำลายล้าง ก็ต้องสร้างกติกาที่เคารพกันทั้งสองฝ่าย และมีคนคุมกฎกติกานั้น

กติกาต้องเป็นธรรมและต้องเคารพกติกาด้วย นักกฎหมายไทยเราน่าจะมีสติปัญญาพอที่จะเขียนให้ชัดเจน อย่าเขียนสั้นนัก..เขียนยาวอีกหน่อยก็ได้ เพราะจะได้ไม่ต้องเสียเวลาตีความ ...วินิจฉัยหรือพิพากษาได้รวดเร็ว ซึ่งจะทำให้บังคับใช้กฎหมายสะดวกขึ้น

ตอนที่ขัดแย้งกันทีไร ไม่มีใครสนใจกติกา ลืมกติกากันหมด เพราะฉะนั้นต้องมีคนคุมกติกา คอยเตือนให้เคารพกติกา คนที่คุมกติกาต้องเป็นกลาง ไม่เอียงข้าง และกติกาต้องบังคับได้ทันที ไม่ใช่ปล่อยให้การต่อสู้เลยไปไกลแล้ว ค่อยมาบังคับกติกา

ความยุติธรรมที่ต้องพิสูจน์?

ความยุติธรรมของประเทศเราน่าจะมีปัญหาแน่นอน เพราะตั้งแต่มีความขัดแย้งในชาติ ใครๆก็ร้องหาให้ศาลช่วยแก้วิกฤต มีชื่อเรียกอยู่สองคำคือ “ตุลาการภิวัฒน์” กับ กระบวนการ “ยุติความเป็นธรรม”

ทำให้สับสนว่า แผ่นดินนี้มีความยุติธรรมนั้นหรือเปล่า หรือเมื่อก่อนมีความยุติธรรมมากแต่เดี๋ยวนี้มีความยุติธรรมน้อยลง หรือว่าความยุติธรรมมีจริงแต่ไม่ใช่ได้มาฟรีๆ อยากได้ต้องแสวงหาด้วยความเหน็ดเหนื่อย หรือว่าต้องซื้อหาด้วยราคาแพง(มีคนจ่ายเป็นหมื่นล้าน!!) หรืออาจจะต้องใช้จ่ายซื้อหาจนหมดเนื้อหมดตัว

ถ้าไม่เชื่อ ลองดูขบวนการ “ล่าล้านชื่อถวายฎีกา” แสดงว่า การต่อสู้ที่ผ่านๆมายังไม่ได้ยอมรับกติกา เพราะอ้างว่ายังไม่ได้รับความยุติธรรม และ โอ้โฮ !!!...ถึงตายไปแล้ว วิญญาณก็ยังแสวงหาความยุติธรรมอยู่

แผ่นดินจะลุกเป็นไฟ

ถ้าจะต่อสู้เพื่อแสวงหาความยุติธรรม ขอให้จงทำต่อไป ผู้เขียนขอสนับสนุนอย่างยิ่ง

จะทวงถามจากใครผู้เขียนไม่รู้ แต่จะปั่นกระแสให้สูงขึ้นจนทั้งแผ่นดินมีอารมณ์ร่วมนั้น ดูเหมือนจะยากสักหน่อย

ประเทศนี้จุดไฟติดยากครับ เผ่าพันธุ์นี้กลไกสมองคงซับซ้อนไม่เหมือนมนุษย์ทั่วไป เพราะไม่เคยมีจารึกในประวัติศาสตร์เลยที่คนไทยลุกขึ้นต่อสู้การกดขี่ข่มเหง

สมัยอาณานิคม ต่างชาติรังแกประเทศเรา เราก็ไม่เคยเอามาใส่สมองให้คิดเจ็บใจ วัฒนธรรมไทยแบบเอาตัวรอด หรือสยบต่ออำนาจ สอนเราว่า “อย่าเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุง”

“นางรัตนาฯ บ้านสีดำ” ต่อสู้เพื่อหาความยุติธรรม อยู่ตั้งหลายปี ไม่มีแฟนคลับ ไม่มีกลุ่มเพื่อนรัตนา ไม่มีจารึกในวิกิ (wikipedia) ไม่ได้เป็นแม่ตัวอย่างจากวีรกรรมการต่อสู้ที่เจ็บปวดและไม่ได้รับการยกย่องจากสังคม ไม่นานก็คงเลือนๆหายไป

แผ่นดินนี้ไม่ลุกเป็นไฟง่ายๆหรอกครับ ถึงจะโฟนอินสักกี่ครั้ง ก็น่าจะได้ผลแค่...อย่าลืมกันนะ!!!

ความขัดแย้ง....เป็นเรื่องธรรมดา

ความขัดแย้งกันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ พระเจ้าไม่ยอมสร้างมนุษย์ให้คิดเหมือนๆกัน ฉะนั้นในชีวิตคนเรา ถ้าเราไม่เห็นขัดแย้งกับใครเลย สงสัยต้องไปเช็คสมองดูว่าใช้สมองน้อยเกินไปหรือเปล่า

ความคิดที่ไม่เหมือนกันนี้ทำให้มีความหลากหลาย มีมุมมองต่างๆกัน ก่อให้เกิดการพัฒนาปรับปรุง สร้างสรรค์สิ่งดีๆ ใหม่ๆ นอกจากนี้ ความคิดเห็นที่ขัดแย้งกันยังช่วยถ่วงดุล ทำให้คิดรอบคอบ ตรวจสอบกันและกันในทุกๆเรื่อง

วันนี้เห็นแย้งกัน พรุ่งนี้อาจจะเห็นเหมือน หรืออาจจะเห็นเหมือนกันบางเรื่อง แต่เรื่องอื่นบางเรื่อง ก็เห็นต่างกัน...ก็เป็นไปได้

ความขัดแย้งที่ไปถึงขั้นรุนแรงเป็นสงคราม ..ก็ยังกลับคืนสู่สันติภาพได้ ไม่มีความขัดแย้งแบบยืนยาว คงทน

สงครามที่เกิดขึ้นแต่ละครั้ง แม้จะมีหายนะเกิดแต่ก็มีสิ่งดีๆเกิดขึ้นหลังจากนั้นด้วย อย่างน้อยเทคโนโลยีด้านอาวุธก็ได้รับการพัฒนาไปอีกมากมาย และวิธีเจรจายุติความขัดแย้ง ก็ได้รับการปรับให้ทันต่อสถานการณ์ ไม่ปล่อยให้พัฒนาไปถึงขั้นรุนแรง

สมานฉันท์นั้นไม่จำเป็นต้องเห็นเหมือน เห็นต่างก็สมานฉันท์ได้

ขัดแย้งกันเป็นเรื่องธรรมดา อยากคิดอะไรก็คิดไป ...ห้ามความคิดกัน ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ

ความขัดแย้งแสดงถึงเสรีภาพทางความคิด เป็นสัญลักษณ์หนึ่งของประชาธิปไตย เราต้องยอมรับความแตกต่างทางความคิด มิฉะนั้นเราก็ไม่มีวันได้เรียนรู้การอยู่ร่วมกันโดยที่เห็นต่างกัน

ขอให้ทำใจให้เป็นสุขแม้จะเห็นไม่ตรงกัน


ขัดแย้งกันต่อไปเถิดครับ..เพราะผู้เขียนเริ่มชอบความขัดแย้งแล้ว แต่อย่าขัดขากลั่นแกล้งทำลายล้างกัน ประเทศเราไม่เคยมีประสพการณ์ความขัดแย้งแบบนี้มาก่อน จะได้ค่อยๆเรียนรู้และอยู่ร่วมกันไป ....แล้วเราก็จะรู้ว่าขัดแย้งเป็นเรื่องธรรมดา

1 สิงหาคม 2552